นิกายเถรวาท
นิกายเถรวาทหรือสํสกฤตเรียกว่า
“สถวีรวาท” นี้
นับว่าเป็นนิกายที่สามารถรักษาพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บริสุทธิ์บริบูรณ์กว่านิกายอื่น
ๆ
และเป็นนิกายซึ่งเคารพต่อมติของพระอรหันตเจ้าทั้งหลายในครั้งปฐมสังคายนาจึงเป็นนิกายซึ่งสืบเนื่องมาแต่บรรดาพระเถรานุเถระครั้งกระโน้นโดยตรง
ฉะนั้นจึงเรียกว่า “เถรวาท”
นิกายน้ได้รุ่งโรจน์อยู่ในภาคกลางของอินเดียภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู
และจนถึงรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช นับเป็นเวลากว่า 100 ปีถึงแม้ว่าในพุทธศตวรรษที่
1 จะเกิดการแตกนิกายขึ้น และนิกายเถรวาทจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเบื้องแรก
แต่ในที่สุดก็กลับเป็นฝ่ายชนะเรียกเอาความเลื่อมใสศรัทธาจากพระเจ้ากาฬาโศกแห่งสุสูนาควงศ์
ซึ่งครองมคธในยุคนั้นกลับคืนได้ เมื่อถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 3
ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์แห่งพระจักรพรรดิอโศก และความสามารถของพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ
นิกายนี้จึงได้แพร่หลายออกไปโดยกว้างขวางทั่วชมพูทวีปและนานาประเทศนอกอาณาเขตมัธยมประเทศ
แต่เป็นที่น่าประหลาด นับตั้งแต่พันพุทธศตวรรษที่ 3 แล้ว
นิกายเถรวาทแม้จะยังมีอยู่ประปรายในอินเดียเราก็ไม่อาจทราบความเป็นได้โดยละเอียด
ตรงกันข้ามกับเกาะสิงหฬ หรือประเทศลังกาในปัจจุบันนี้
กลับเป็นอู่แห่งความเจริญพัฒนาของพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทตลอดระยะกาล 2000 ปี เศษ ตามตำนานเล่าว่า
พระโสณะและอุตตระพร้อมกับบริวารพานิกายเถรวาทไปเผยแผ่ในสุวรรณภูมิ ปัจจุบันได้แก่บริเวณแถวพม่าได้จนถึงภาคึกลางประเทศไทย
มีศูนย์กลางที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือแถบจังหวัดนครปฐมเดี่ยวนี้
ส่วนสุวรรณภูมิเป็นประเทศซึ่งชาวอินเดียแต่ครั้งก่อนพุทธกลารู้จักดี
ปรากฏว่ามีการค้าขายติดต่อกัน และมีชาวอินเดียทั้งที่เป็นชาติอารยัน
และชาวอินเดียที่เป็นชาติดราวิเดียนอพยพเข้ามาตั้งรกรากอยู่บ้างแล้ว
เพราะฉะนั้นพระโสณะและพระอุตตระจึงสะดวกในการสั่งสอนพระพุทธศาสนา
ได้เทศนาพรหมชาลสูตรโปรดพวกชาวสุวรรณภูมิ มีคนบรรลุมรรคผลถึง 60000 คน แต่รายละเอียดต่อไปจะมีอย่างไรในตำนานหากล่าวถึงไม่
ส่วนทางประเทศลังกาปรากฏว่าในปี พ.ศ. 236 เป็นปีที่กษัตริย์ลังกาผู้ครองเมืองอนุราชปุระองค์ใหม่ทรงพระนามว่าเทวานัมปิยติสสะขึ้นเสวยราชย์
พระมหินทร์นำคณะธรรมทูตไปเผยแผ่พระศาสนาในลังกา
พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงศรัทธาประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก
โปรดให้อุปสมบทบุคคลและก่อสร้างวิหารเจดีย์ มีวัด มหาวิหาร เจติยคีรีวิหาร ถูปาราม
เป็นต้น
และโปรดให้ราชทูตไปทูลพระเจ้าอโศกขอคณะภิกษุณีเพื่อมาอุปสมบทแก่หญิงชาวลังกาตลอดจนทูลขอกิ่งมหาโพธิเพื่อสักการบูชาด้วย
พระเจ้าอโศกทรงสนับสนุนส่งพระธิดาซึ่งเป็นภิกษุณี
ทรงนามว่าสังฆมิตตาเถรีพร้อมด้วยบริวาร และให้อัญเชิญกิ่งพระศรีมหาโพธิมาประทาน
ปรากฏว่าน้องสะใภ้ของพระเจ้าเทวานัมปิติสสะทรงนามว่า พระอนุฬาเทวี
ออกอุปสมบทเป็นพระภิกษุณีพร้อมด้วยบริวารอีก 1000 คน
เป็นครั้งปฐมในลังกา ส่วนกิ่งมหาโพธิโปรดให้ปลูกขึ้นในมหาเมฆวันอุทยาน
ว่ากันว่ายังมีเชื้อสายปรากฏอยู่จนถึงกาลปัจจุบันนี้ ต่อมาเมื่อการศึกษาพระธรรมวินัยแพร่หลายในหมู่สงฆ์ชาวลังกาแล้ว
พระมหินทร์ก็ทูลขอให้พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงเป็นราชูปถัมภ์
ชุมนุมสงฆ์ในลังกาจัดทำสังคายนาขึ้น ณ ถูปาราม เมืองอนุราธปุระ
ว่ามีพระอรหันต์ร่วมประชุมถึง 68000 องค์ ทำอยู่ 10 เดือนจึงสำเร็จ นับตั้งแต่นั้นมาพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ
มีคันถรจนาจารย์แต่งคัมภีร์ อรรถกถาฎีกาอธิบายพระไตรปิฎกเป็นภาษาลังกา
เพื่อศึกษาแพร่หลายเป็นหลักฐานยิ่งกว่าในประเทศอินเดีย
ซึ่งนับวันนิกายเถรวาทจะหมดรัศมีลงไปเรื่อย ๆ
ครั้นตก พ.ศ. 429 ในแผ่นดินพระเจ้าวัฏฏคามินีเกิดอริราชศัตรูต่างด้าว
คือพวกทมิฬยกมาจากภาคใต้ของอินเดีย ข้ามทะเลมาตีนครอนุราธปุระแตก
พระเจ้าวัฏฏคามินีหลบหนีข้าศึกไปซ่องสุมรี้พลในชนบท
ระหว่างนั้นได้รับอุปการะเสบียงกรังจากพระมหาเถระรูปหนึ่ง ชื่อติสสะ
ภายหลังทรงรบชนะพวกทมิฬ กลับได้ครองเมืองอนุราชปุระแล้ว ทรงรำลึกถึงพระคุณของพระติสสมหาเถระ
จึงโปรดให้สร้างวัดชื่อ อภัยคีรีวิหาร ให้พระติสสะมหาเถระและบริวารอาศัย
ต่อมาคณะสงฆ์ฝ่าย มหาวิหาร ไม่พอใจในปฏิปทาของฝ่ายอภัยคีรีวิหาร
โดยกล่าวว่าเป็นพวกประจบคฤหัสถ์ จึงแยกออกเป็น 2 ฝ่าย ถึงกลับไม่ไปมาหาสู่กัน
แต่ไม่ถึงแยกเป็นนิกายออกโดยโจ่งแจ้ง เพราะฉะนั้น
เมื่อพระเจ้าวัฏฏคามินีและคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ปรารภความแตกร้าวอันนี้
จึงชุมนุมสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่าย ทำสังคายนาพระธรรมวินัยขึ้น ณ มหาวิหาร มีพระพุทธทัตตะ
(เห็นจะเป็นพระมหาเถระฝ่ายมหาวิหาร) เป็นประธาน พระติสสมหาเถระคณาจารย์ใหญ่อภัยคีรีวิหารเป็นผู้วิสัชนาพระธรรมวินัย
มีจำนวนพระเถระที่เข้าประชุม 1000 รูป ทำ 1 ปีจึงสำเร็จ เมื่อปี พ.ศ.433 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวิจารณ์สังคายนาครั้งนั้นว่า
“ตั้งแต่ พ.ศ. 440-454 นี้ เป็นเวลาที่พระเจ้าวัฏฏคามินียังกำลังหลบหนีพวกทมิฬอยู่
ในหนังสือสยามูปสัมปทาวัตรว่า พระสงฆ์ทำสังคายนาครั้งนี้
ทำที่อลุวิหารในเมืองมาตุละ
แลว่าผู้ที่อุดหนุนนั้นจะเป็นนายบ้านหรือพ่อเมืองอะไรคนหนึ่ง
ซึ่งได้มีอำนาจปกครองอยู่แขวงเมืองมาตุละนั้น มิใช่พระเจ้าวัฏฏคามินี
อีกประการหนึ่ง อภัยคีรีวิหารในเวลานั้นยังไม่ได้สร้าง จึงเห็นว่าความที่กล่าวในตำนานสังคายนาผิด
ตามความสันนิษฐานของข้าพเจ้าในเรื่องสังคายนาครั้งที่ 2 ในลังกาทวีปนี้
ที่ปรากฏว่าทำในหัวเมืองในเวลาบ้านเมืองยุคเข็ญเห็นจะเป็นความจริง
ด้วยสมกับเหตุที่ปรารภ
ส่วนพระสงฆ์ที่ทำสังคายนานั้นอาจจะมีคณาจารย์ที่เป็นใหญ่ในอนุราชบุรีมาสมทบด้วยบ้าง
แต่โดยมากคงจะเป็นพระหัวเมือง
อย่างไรก็ดี
สังคายนาครั้งนั้นมีผลก่อให้เกิดการจารึกพระธรรมวินัยลงเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก
เพื่อป้องกันความวิปลาสคลาดเคลื่อน
จึงนับว่าเป็นพระไตรปิฎกฉบับเขียนฉบับแรกของฝ่ายเถรวาท ครั้นตกราวพุทธศตวรรษที่ 9 ในแผ่นดินพระเจ้ามหานาม มีพระคณาจารย์ผู้แตกฉานพระไตรปิฎกรูปหนึ่ง ชื่อ
พระพุทธโฆษะ เป็นชาวมคธจาริกข้ามทะเลมาประเทศลังกา
ประสงค์จะแปลพระไตรปิฎกและบรรดาอรรกถา ซึ่งเป็นภาษาสิงหฬกลับสู่มคธพากย์
สันนิษฐานว่า พระไตรปิฎกคงจะเขียนด้วยตัวอักขระสิงหฬ แต่เป็นภาษาบาลี ส่วนอรรถกถาฎีกาคงจะแต่งในภาษาสิงหฬล้วนพระพุทธโฆษะมุ่งจะแปลจะถ่ายทอดอรรกถาเป็นสำคัญ
ทั้งนี้เพราะปรากฏว่าในประเทศอินเดียมีแคว้นมคธเป็นต้น
แม้ลัทธิพระศาสนาแบบเถรวาทจะตกอับ สู้นิกายมหาสังฆิกะ นิกายสรวาสติวาทิน
และนิกายเสาตฺตนฺติกวาทินตลอดจนนิกายวัชชีบุตรมิได้ ถึงกระนั้นพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทก็ยังจะต้องมีอยู่ให้กุลบุตรศึกษาเล่าเรียน
มิฉะนั้นพระพุทธโฆษะท่านไปเที่ยวร่ำเรียนพระธรรมวินัย
จนกระทั่งปรากฏเกียรตินามว่าเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในแคว้นมคธได้อย่างไร อนึ่ง ณ
เมืองกาญจิปุระซึ่งตั้งอยู่ทางอินเดียภาคใต้ ปรากฏว่าเป็นเมืองที่นิกายเถรวาทยังรุ่งเรืองอยู่
มีการศึกษาพระปริยัติธรรมของนิกายนี้โดยกว้างขวาง
แต่หลักพระไตรปิฎกคงต้องอาศัยฉบับของลังกาเป็นหลักฐาน
พระพุทธโฆษะเมื่อเดินทางมาถึงลังกาแล้ว
จึงได้ร่วมมือกับพระเถระชาวลังกาชำระพระไตรปิฎก และอรรถกถาใหม่อีกวาระหนึ่ง
สงเคราะห์เรียกว่าสังคายนาเหมือนกัน สังคายนาครั้งนั้นปรากฏว่าพระพุทธโฆษะ
และพระเถระลังกาได้ช่วยกันแต่งรวบรวมปกรณ์วิเศษต่าง ๆ
ขึ้นเป็นจำนวนมากและแปลอรรถกถาภาษาสิงหฬสู่ภาษาบาลี
และได้เผาคัมภีร์ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ตรงกับหลักธรรมในคติของฝ่ายเถรวาทเสียเป็นจำนวนมาก
เข้าใจว่าคงจะเป็นคัมภีร์ของนิกายอื่น ๆ
พระไตรปิฎกอรรถกถาที่สังคายนาครั้งนั้นจึงถือเป็นยุติ
รับรองกันว่าเป็นหลักในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
ต่อมาจึงแพร่หลายทั่วไปในนานาประเทศที่นับถือนิกายเถรวาทตรงกันหมด
จะมีผิดเพี้ยนบ้างก็เป็นความเล็กน้อยตามวิสัย อย่างไรก็ดี สังคายนาครั้งพระพุทธโฆษะดูเหมือนจะทำกันเป็นการเฉพาะในคณะสงฆ์ฝ่ายมหาวิหาร
และพระพุทธโฆษะเองก็นับถือคติของฝ่ายมหาวิหารเป็นสำคัญ แม้จนกระทั่งในปกรณ์ต่าง ๆ
ที่พวกคณาจารย์แต่งก็มักมีประกาศไว้ให้ผู้ศึกษาทราบว่า แต่งตามมติของฝ่ายมหาวิหาร
ดังจะยกคำแปลในปณาคาถา และคำปรารภของพระพุทธโฆษะในคัมภีร์สมันตปาสาทิกาเป็นนิทรรศนะดังนี้
ที่จริงพระวินัยนี้
อันท่านบุพพาจารย์ผู้ประเสริฐทั้งหลายผู้มีมลทิน
และอาสวะอันชำระล้างแล้วด้วยน้ำคือญาณ ผู้มีวิชชาและปฏิสัมภิทาอันบริสุทธิ์
ผู้ฉลาดในการสังวรรณนา พระสัทธรรมแล้วด้วยนัยทั้งหลายอันวิจิตร
อันเป็นไปตามนัยแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้จริง
และในวิสุทธิมรรคปกรณ์ตอนปกรณาวสานคาถาว่า
ข้าพเจ้าจักแสดงซึ่งวิสุทธิมรรคอันอาศัยนัยเทศนาของบรรดาพระมหาเถระสำนักมหาวิหารเป็นที่วินิจฉัย
ซึ่งหมดจดด้วยดี
ที่มา :
เสถียร
โพธินันทะ. (2554). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา.
กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์บุ๊กส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น