พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ประเทศไทยมีชื่อเป็นทางการว่า
ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) ปัจจุบัน (พ.ศ.2549) ปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร ก่อนหน้านี้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ไทยมีประชากรประมาณ 62,418,054 คน (พ.ศ.2548) โดย 95% นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท 3% นับถือศาสนาอิสลาม และอีก 2% นับถือศาสนาคริสต์
พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ไทยในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชประมาณปี
พ.ศ.236 โดยพระโสณเถระและพระอุตตรเถระเป็นผู้นำมาเผยแผ่ยังสุวรรณภูมิ
ซึ่งในขณะนั้นอาณาจักรไทยรวมอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิด้วย สุวรรณภูมิ แปลว่า
แผ่นดินทองคำ ปัจจุบันยังชี้ชัดไม่ได้ว่าสุวรรณภูมิอยู่ตรงไหน
นักโบราณคดีมีทัศนะแตกต่างกัน 4 กลุ่มใหญ่ดังนี้
1. นักโบราณคดีกลุ่มอินเดีย 90% เชื่อว่า สุวรรณภูมิ
คือ แหลมมลายู ประกอบด้วยดินแดนส่วนใต้สุดของพม่า ภาคใต้ของไทยทั้งหมด คาบสมุทรมาเลเซีย
และประเทศสิงคโปร์ ประวัติพื้นเมืองกล่าวไว้ว่า สมัยโบราณย่านนี้มีทองคำมาก เล่นพนันกันโดยเอาทองออกประกัน
ชนไก่ก็เอาทองเท่าตัวไก่เป็นเดิมพัน
2. กลุ่มอินเดีย 10% เชื่อว่า สุวรรณภูมิ คือ
ริมทะเลด้านตะวันออกของอินเดียใต้
3. กลุ่มพม่าเชื่อว่า สุวรรณภูมิ ได้แก่ตอนกลางและตอนใต้ของประเทศพม่า
4. กลุ่มไทยเชื่อว่า ศูนย์กลางสุวรรณภูมิอยู่ที่จังหวัดนครปฐม
อย่างไรก็ตาม
สุวรรณภูมิมีขอบเขตกว้างขวาง สิริวัฒน์ คำวันสา กล่าวไว้ว่า มีชนเผ่า ต่างๆ หลายเผ่าอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ เช่น
มอญ พม่า ละว้า มลายู และขอม เป็นต้น
อาณาจักรทวารวดี
หลักจากที่บรรพบุรุษของไทยได้รับพระพุทธศาสนาเถรวาทมาตั้งแต่ยุคของพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว
ก็ได้รักษาสืบทอดกันเรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุคของ อาณาจักรทวารวดี
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 - 13 ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐมในปัจจุบัน
ในยุคนี้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง พบโบราณวัตถุและโบราณสถานต่างๆ มากมาย เช่น
พระพุทธรูปศิลาขาว พบที่นครปฐม 3 องค์ อยุธยา 1 องค์ และพบพุทธสถานโบราณหลายแห่งในนครปฐม โดยเฉพาะองค์พระปฐมเจดีย์
อาณาจักรศรีวิชัย
อาณาจักรที่อยู่ในช่วงเดียวกันกับทวารวดีคือ อาณาจักรศรีวิชัย ประมาณพุทธศตวรรษที่
11 - 19 ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างครอบคลุมปลายแหลมมลายูและเกาะชวา
ยังไม่พบหลักฐานระบุได้ชัดเจนว่าศูนย์กลางของอาณาจักรนี้อยู่ที่ใด ดร.เวลล์ กล่าวว่า เมืองปาเลมบัง บนเกาะสุมาตราในประเทศอินโดนีเซีย
เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย ในขณะที่ท่านพุทธทาสมีความเห็นว่า
เมืองหลวงของศรีวิชัยอยู่ที่ไชยา สุราษฎร์ธานี มีการค้นพบศิลาจารึกที่วัดเสมาเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช
ซึ่งบ่งบอกว่าพระเจ้ากรุงศรีวิชัยเป็นผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนามหายาน
และพบหลักฐานในที่อื่นๆ อีกมากมายในปี พ.ศ.1214 สมณะอี้จิงเดินทางจากจีนมาเรียนหนังสืออยู่ที่ศรีวิชัย 6 เดือน จึงเดินทางต่อไปอินเดีย ท่านได้แนะนำเพื่อนภิกษุชาวจีนว่า
ก่อนจะไปชมพูทวีปควรจะไปศึกษาเบื้องต้นที่ศรีวิชัยก่อน
เพราะเป็นแหล่งศึกษาพระพุทธศาสนามหายานที่สำคัญและโด่งดังเกือบจะทัดเทียมกับอินเดีย
อาณาจักรลพบุรี ประมาณพุทธศตวรรษที่
15 - 16 ราชวงศ์สุริยวรมันแห่งกัมพูชาเจริญรุ่งเรือง
ได้แผ่อาณาจักรครอบคลุมมายังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำมูล
ได้มีชัยชนะเหนืออาณาจักรทวารวดีและตั้งราชธานีเพื่ออำนวยการปกครองขึ้นในเมืองต่างๆ
เช่น เมืองลพบุรี สุโขทัย ศรีเทพ (เพชรบูรณ์) พิมาย และสกลนคร ในเมืองต่างๆ เหล่านี้
ลพบุรีหรือละโว้เป็นเมืองสำคัญที่สุด
ลพบุรีได้รับเอาพระพุทธศาสนามหายานจากกัมพูชามาผสมผสานกับเถรวาทดั้งเดิมที่สืบต่อมาตั้งแต่สมัยทวารวดี
ในสมัยนี้มีการสร้างศาสนสถานมากมาย เช่น พระปรางค์สามยอด ปราสาทหินพิมาย
และปราสาทหินเขาพนมรุ้ง เป็นต้น
อาณาจักรสุโขทัย
ประมาณปี พ.ศ.1800 หัวหน้าคนไทยกลุ่มหนึ่ง
คือ พ่อขุนบางกลางหาว ได้ประกาศอิสรภาพขับไล่พวกขอมหรือกัมพูชาออกไป
แล้วตั้งราชธานีขึ้นที่กรุงสุโขทัย
และได้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
เป็นปฐมกษัตริย์ของสยามประเทศ ทางด้านศาสนานั้นยุคนี้มีทั้งศาสนาพราหมณ์
พระพุทธศาสนามหายานและเถรวาทซึ่งตกทอดมาจากอดีต
แต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงเคารพนับถือนิกายเถรวาทมากที่สุด ต่อมาประมาณปี พ.ศ.1822 พ่อขุนรามคำแหงเสด็จขึ้นครองราชย์
เป็นกษัตริย์องค์ ที่ 3 แห่งกรุงสุโขทัย ยุคนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมากทั้งอาณาจักรและพุทธจักร
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ทรงอาราธนาพระสงฆ์จากนครศรีธรรมราชซึ่งไปร่ำเรียนมาจากลังกาให้มาเผยแผ่ที่กรุงสุโขทัย ซึ่งต่อมาได้รับความนิยมมาก คณะสงฆ์สมัยนั้นแบ่งเป็น 2 คณะ คือ คณะคามวาสี คือฝ่ายคันถธุระหรือศึกษาด้านปริยัติ และคณะอรัญวาสี
คือ ฝ่ายวิปัสสนาธุระหรือฝ่ายที่เน้นบำเพ็ญสมาธิภาวนา
ชาวสุโขทัยมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ดังข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้านที่ 2 ตอนหนึ่งว่า
"...คนในสุโขทัยนี้มักทาน มักทรงศีล
มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัย ทั้งชาวแม่ ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง
ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษากรานกฐินเดือนหนึ่งจึงแล้ว เมื่อกรานกฐินมีพนมเบี้ย พนมหมาก มีพนมดอกไม้
มีหมอนนั่งหมอนนอน บริพารกฐินโอยทานแลญิบล้าน ไปสวดญัตติกฐินถึงอรัญญิกพู้น..."
พระพุทธศาสนายุคสุโขทัยนั้นรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยพระนัดดา
(หลาน) ของพ่อขุนรามคำแหงคือ
พระมหาธรรมราชาลิไท เสด็จขึ้นครองราชย์ประมาณปี พ.ศ.1890
ทรงเป็นกษัตริย์องค์แรกที่รอบรู้พระไตรปิฎกและภาษามคธ ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีพระพุทธศาสนา
เรื่องไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นวรรณคดีชิ้นแรกของไทยในปี พ.ศ.1888
โดยอ้างอิงจากคัมภีร์ต่างๆ ถึง 34 เรื่อง
ทรงสร้างเจดีย์ที่นครชุม (เมืองกำแพงเพชร) สร้างพระพุทธชินสีห์ พระพุทธชินราชที่พิษณุโลก และในปี พ.ศ.1905 พระองค์เสด็จออกผนวช นอกจากนี้ศิลาจารึก
หลักที่ 5 กล่าวไว้ว่าพระเจ้าลิไททรงปรารถนาพุทธภูมิด้วยดังข้อความว่า
"จุงเป็นพระพุทธ
จุงจักเอาฝูงสัตว์ทั้งหลาย(ข้าม)สงสารทุกข์นี้" เมื่อกษัตริย์ทรงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเช่นนี้จึงเป็นเหตุให้ประชาชนถือเป็นแบบอย่างและเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก
อาณาจักรล้านนา
ได้รับการสถาปนาขึ้นในปี พ.ศ.1840 โดยพระยามังราย
ทรงเป็นพระสหายสามเส้าระหว่างพ่อขุนรามคำแหงกับพระยางำเมืองแห่งเมืองพะเยา
ทรงสร้างเมืองขึ้นที่เชิงเขาเทวบรรพต (ดอยสุเทพ) ให้ชื่อว่า นวปุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ พระพุทธศาสนาสมัยนั้นเป็นนิกายเถรวาทเป็นหลัก
ซึ่งมีความแพร่หลายเป็นศาสนาประจำท้องถิ่น
ต่อมาเมื่อพระเจ้าติโลกราชเสวยราชสมบัติระหว่างปี พ.ศ.1985
- 2020 ยุคนี้พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดถือเป็นยุคทองของล้านนา ในปี พ.ศ.1985 ทรงบวชพระชาวเชียงใหม่ 500 รูป ทรงสังคายนา
พระไตรปิฎกที่ล้านนา
ซึ่งถือเป็นการสังคายนาครั้งที่ 8 ผลการสังคายนาครั้งนี้ทำให้ศาสนาเข้มแข็งและบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นขึ้น
ต่อมาเมื่อพระเมืองแก้ว
ซึ่งเป็นพระเจ้าหลานของพระเจ้าติโลกราชขึ้นครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ.2038 - 2068 มีพิธีบวชนาคหลวงครั้งใหญ่ครั้งแรกในล้านนาถึง
1,200 กว่ารูป สมัยล้านนาพระสงฆ์แตกฉานในคัมภีร์บาลีและแต่งตำราเป็นภาษาบาลีไว้มากกว่าสมัยใดๆ จำนวนคัมภีร์ที่แต่งไว้ไม่ต่ำกว่า 32 คัมภีร์ ตำราบางเล่มยังใช้เป็นหลักสูตรของคณะสงฆ์มาถึงปัจจุบัน เช่น
มังคลัตถทีปนี ชินกาลมาลีปกรณ์ เป็นต้น แม้แต่บทสวดพาหุง ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ ก็แต่งในยุคนี้
พระลังกาก็นำไปใช้สวดจนถึงปัจจุบันเช่นกัน
อาณาจักรอยุธยา พระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.1893 ซึ่งขณะนั้นอาณาจักรสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลงและในที่สุดได้เป็นเมืองขึ้นของอยุธยาในปีพ.ศ.1921 กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองยาวนานถึง 417
ปี มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาถึง 33 พระองค์
อยุธยาเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ดังคำกล่าวว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ทั่วทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
มีวัดวาอาราม ปราสาท พระราชวัง ปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุมากมาย
พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างวัดขึ้น 2 วัด คือ
วัดพุทธไธศวรรย์ และวัดใหญ่ชัยมงคล
พระพุทธศาสนาเจริญสูงสุดในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 8 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.1991-2031
ทรงสร้างวัดและบูรณะวัดต่างๆมากมาย ในปี พ.ศ.2008
พระองค์เสด็จออกผนวช มีข้าราชการและบรมวงศานุวงศ์ออกบวชตามมากถึง 2,388
คน
ซึ่งเป็นประดุจดั่งการออกบวชของพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายในอดีต
ครั้นถึงรัชกาลพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงหล่อพระพุทธรูปสูงใหญ่ชื่อ
พระศรีสรรเพชญ์ ด้วยทองคำหนัก 53,000 ชั่ง แล้วหุ้มด้วยทองคำอีก
286 ชั่ง หรือ 22,880 บาท
หลังจากสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 พระพุทธศาสนาก็ได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์เรื่อยมาจนกระทั่งถึงรัชกาลของพระเจ้าทรงธรรม
กษัตริย์องค์ที่ 21 แห่งกรุงศรีอยุธยา ครองราชย์ในปี พ.ศ.2153 ก่อนเสวยราชสมบัติพระองค์เคยออกผนวช เป็นผู้รอบรู้ในพระไตรปิฎก
ต่อมาเมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วได้เสด็จลงพระที่นั่งจอมทอง 3 หลัง เพื่อสอนพระบาลีแก่ภิกษุสามเณร ทุกวัน
มีภิกษุสามเณรไปเรียนกันจำนวนมาก
ในสมัยของพระองค์มีการส่งพระภิกษุไปเรียนที่ลังกาด้วย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.2199
- 2231 พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่กิจทางศาสนา เสด็จทรงบาตรทุกวัน
ในสมัยนั้นชาติตะวันตกเข้ามาล่าอาณานิคมในแถบเอเชีย ประเทศต่างๆ
ตกเป็นเมืองขึ้นโดยมาก
แต่ไทยรอดพ้นมาได้ทั้งด้านอาณาจักรและศาสนจักรด้วยพระปรีชาสามารถของกษัตริย์ในแต่ละสมัย
ครั้งหนึ่งพระเจ้า หลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ส่งพระราชสาส์นมาถึงพระนารายณ์มหาราช มีใจความว่า
พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสขอชักชวนพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาให้มาร่วมแผ่นดินเดียวกัน
โดยขอให้พระองค์เปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาเดียวกับฝรั่งเศส...
พระนารายณ์มหาราชทรงขอบพระทัยพระเจ้าฝรั่งเศสหนักหนาที่มีความสนิทเสน่หาในพระองค์
แต่ทรงประหลาดใจว่า
เหตุใดพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจึงมาก้าวก่ายกับฤทธิ์อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า
เพราะการที่มีศาสนาต่างๆ ในโลกนี้ ไม่ใช่เป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ
พระองค์จึงปล่อยให้มีไปดั่งนั้น มิได้บันดาลให้มีเพียงศาสนาเดียว
เมื่อพระผู้เป็นเจ้ามีฤทธิ์มากในเวลานี้
พระองค์คงปรารถนาให้ตัวเรานับถือพุทธศาสนาไปก่อน
เพราะฉะนั้นเราจึงจะรอคอยพระกรุณาของพระองค์
บันดาลให้เราเลื่อมใสในคริสต์ศาสนาในวันใด เราก็จะเข้ารีตในวันนั้น
จึงขอฝากชะตากรรมของเราและกรุงศรีอยุธยาสุดแต่พระเจ้าจะบันดาลเถิด
พระนารายณ์มหาราชทรงโปรดให้มีพระราชโองการประกาศว่า ให้คนไทยนับถือศาสนา
ได้ตามชอบใจ แล้วพระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์คริสตังใหม่
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ทูตฝรั่งเศสผิดหวัง มากเกินไป
มีคนไทยบางส่วนหันมานับถือคริสต์ศาสนาแต่ก็เพียงน้อยนิด แม้ผ่านมา 300 กว่าปีจนถึงปัจจุบัน
คริสต์ศาสนิกชนในไทยมีเพียง 2% เท่านั้น
กุศโลบายของพระนารายณ์มหาราชนี้เป็นการเสียน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ แต่ถ้าพระองค์ทรงเปลี่ยนศาสนาเสียแล้ว
เป็นไปได้ว่าในยุคนั้นและยุคต่อมาชาวไทยโดยส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปนับถือคริสต์ศาสนาตามพระองค์
ปัจจุบันชาวพุทธอาจจะเป็นชนกลุ่มน้อยในท่ามกลางคริสต์ศาสนิกชนก็เป็นไปได้
สมัยกรุงธนบุรี หลักจากที่กรุงศรีอยุธยาสูญเสียเอกราชให้แก่พม่าในปี พ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชได้ในปลายปีเดียวกัน
แล้วทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ ทรงสนับสนุนปัจจัย 4 แก่พระภิกษุสามเณรที่ตั้งใจเล่าเรียนพระไตรปิฎก
และทรงขอร้องให้ภิกษุตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัย
หากขัดข้องสิ่งใดพระองค์จะจัดการอนุเคราะห์ ทรงมีพระราชดำรัสว่า "ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวงมีศีลคุณบริบูรณ์ในพระศาสนาแล้ว แม้จะปรารถนามังสะรุธิระของโยม โยมก็อาจจะเชือดเนื้อแลโลหิตออกมาบำเพ็ญทานได้" เพราะสมัยนั้นมีภิกษุประพฤตินอกรีตตั้งตนเป็นแม่ทัพ พระเจ้าตากสินจึงจับสึกไปจำนวนมาก
สมัยรัตนโกสินทร์
หลังจากสิ้นยุคธนบุรีแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในวันที่
6 เมษายน พ.ศ.2325 ทรงย้ายเมืองหลวงมาที่ กรุงเทพมหานคร หรือกรุงรัตนโกสินทร์
พระพุทธศาสนาในกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมีความเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้ยุคใดที่แล้วมา
ทั้งนี้เพราะพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงเป็นหลักชัยในการ ส่งเสริมบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี
รัชกาลที่ 1 (พ.ศ.2325
- 2352) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เสด็จออกทรงบาตรเวลาเช้า
ตอนเพลถวายภัตตาหาร
เวลาเย็นเสด็จออกท้องพระโรงเพื่อสดับพระธรรมเทศนาเป็นประจำ ทรงโปรดให้ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในปลายปี
พ.ศ.2331 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพชญ์
(วัดมหาธาตุในปัจจุบัน) โดยมีพระภิกษุ 218 รูป ราชบัณฑิต 32
คน
พระองค์เสด็จไปที่ประชุมสังคายนาวันละ 2 ครั้ง
เช้าและเย็น เพื่อถวายภัตตาหารและน้ำปานะ สังคายนาอยู่ 5 เดือนจึงเสร็จ
แล้วโปรดให้คัดลอกสร้างเป็นฉบับหลวงขึ้น เรียกว่า ฉบับทองใหญ่
นอกจากนี้ทรงออกกฎหมายเกี่ยวกับคณะสงฆ์เป็นครั้งแรกและออกต่อๆ กันมา รวม 10
ฉบับ ฉบับที่ 1 ออกในปี พ.ศ.2325 ฉบับที่ 10 ออกในปี พ.ศ.2344 และทรงโปรดให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
หรือวัดพระแก้ว ในปี พ.ศ.2325 เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต
รัชกาลที่ 2 (พ.ศ.2352
- 2367) ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย มีการปรับหลักสูตรการศึกษาภาษาบาลีใหม่จาก "บาเรียนตรี บาเรียนโท บาเรียนเอก" เป็นแบบ 9
ประโยค ดังที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ในการสอบวัดผลนั้น
ใช้วิธีสอบปากเปล่าคือให้แปลพระบาลีต่อหน้ากรรมการ 3 - 4 รูป
และมีครูเข้าฟังเป็นพยาน 20 - 30 รูป ถ้านักเรียนแปลเก่ง
อาจจะสอบผ่าน 9 ประโยคภายในวันเดียวก็ได้
ในปี พ.ศ.2363 มีอหิวาตกโรคระบาดผู้คนล้มตายมาก
พระองค์จึงบำเพ็ญกุศลหลายอย่างเพื่อขจัดปัดเป่าภัยพิบัติ
โปรดให้แปลพระปริตรเป็นภาษาไทย
ให้เจ้านายและข้าราชการฝ่ายในฝึกหัดสวดพระปริตรทุกวัน โดยพระองค์เสด็จขึ้นทรงฟังสวดถวาย
ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณทุกคืน
ธรรมเนียมการสวดพระปริตรนี้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
เมื่อครั้งที่เมืองไพศาลีเกิดภัยพิบัติด้วยอหิวาตกโรคเป็นต้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสั่งให้พระอานนท์เรียนรัตนสูตรว่าด้วย "ยงฺกิญฺจิ ฯลฯ" แล้วทำพระปริตรสวดขจัดปัดเป่าภัยต่างๆ
ในเมืองไพศาลีให้มลายหายไป
รัชกาลที่ 3 (พ.ศ.2367
- 2394) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
มีคำกล่าวว่า ไม่ว่าพระองค์จะประทับอยู่ ณ ที่ใด ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้น
พระองค์จะทรงระลึกถึงการบำรุงพระศาสนาไว้ก่อน พระองค์เสด็จทรงบาตรทุกวัน
ทรงอาราธนาพระมาถวายธรรมเทศนาและบอกคัมภีร์ในวังเป็นประจำ พระองค์ไม่โปรดละครในคือละครที่มีผู้หญิงแสดง
แต่โปรดการทรงธรรม ในรัชกาลนี้มีการสร้างพระไตรปิฎกมากกว่ารัชกาลอื่นที่แล้วมาคือ
มีถึง 5 ฉบับ ได้แก่ ฉบับรดน้ำเอก รดน้ำโท ทองน้อย ชุบย่อ
และฉบับอักษรรามัญ ด้วยความที่พระองค์เอาใจใส่ต่อกิจการทางศาสนาเช่นนี้
จึงมีกุลบุตรออกบวชกันจำนวนมาก ตามบันทึกของชาวยุโรประบุว่า
ในกรุงเทพมหานครมีภิกษุสามเณร 10,000 รูป
และทั่วพระราชอาณาจักรมี
100,000 รูป
กำเนิดธรรมยุต ในสมัยนี้ได้เกิดนิกายธรรมยุตขึ้น
โดยพระวชิรญาณเถระ ทรงศรัทธาเลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญชื่อ ชาย พุทฺธวํโส
จึงทรงอุปสมบทใหม่กับคณะสงฆ์มอญในปี พ.ศ.2372 แล้วตั้งคณะธรรมยุตขึ้นในปี พ.ศ.2376 จากนั้นเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหารซึ่งเป็นศูนย์กลางของคณะธรรมยุติกนิกาย
คณะสงฆ์เดิมนั้นถูกเรียกว่า มหานิกาย
ก่อนสวรรคต
พระองค์ตรัสสั่งเหล่าข้าราชบริพารเรื่องกิจการบ้านเมืองและศาสนาไว้ว่า "สงครามข้างญวนข้างพม่าเห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ชาวฝรั่ง
ให้ระวังให้จงดีอย่าให้เสียทีเขา การงานสิ่งใดของเขาที่คิดว่าดี ควรจะเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา
แต่อย่านับถือเลื่อมใสไปทีเดียว
ทุกวันนี้คิดจะสละห่วงใยให้หมด
อาลัยอยู่แต่วัดสร้างไว้ใหญ่โตหลายวัดที่ยังค้างอยู่ก็มี
ถ้าชำรุดทรุดโทรมไปจะไม่มีผู้ช่วยบำรุง... (เงินพระคลัง 4
หมื่นชั่ง) ขอสัก 1 หมื่นชั่งเถิด
ถ้าผู้ใดเป็นเจ้าของแผ่นดินช่วยบอกแก่เขา
ขอเงินรายนี้ช่วยทะนุบำรุงวัดที่ชำรุดและการวัดที่ยังค้างอยู่นั้นให้แล้วด้วย"
รัชกาลที่ 4 (พ.ศ.2394-2411) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อทรงเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎได้ผนวชอยู่ 27 พรรษา ทรงลาสิกขาแล้วขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 57
พรรษา ใน พ.ศ. 2394 พระองค์ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้นหลายวัด
เช่น วัดปทุมวนาราม วัดโสมนัสวิหาร วัดมกุฎกษัตริยาราม
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม และวัดราชบพิตร เป็นต้น ตลอดจนบูรณะวัดต่างๆ
อีกมาก โปรดให้มีพระราชพิธี "มาฆบูชา" ขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ.2394 ณ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ปวงชนชาวไทยได้ถือปฏิบัติเป็นประเพณีสืบกันมาจนถึงทุกวันนี้
รัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2411-2453) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชทรงเป็นกษัตริย์ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
ทรงนำพาชาติไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทั้งทางกิจการบ้านเมืองและทางศาสนา
ทรงเริ่มต้นการศึกษาสมัยใหม่ในประเทศไทย
โดยให้วัดเป็นศูนย์กลางและให้พระสงฆ์เป็นครูสอนหนังสือแก่เยาวชน ในปี พ.ศ.2427 ได้จัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก
ณ วัดมหรรณพาราม
ในปี พ.ศ. 2432 ทรงโปรดให้ย้ายที่ราชบัณฑิตบอกพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณร
จากในวัดพระศรีรัตนศาสดารามออกมาเป็นบาลีวิทยาลัยชื่อ มหาธาตุวิทยาลัย
ที่วัดมหาธาตุ และต่อมาปี พ.ศ. 2439 ได้ประกาศเปลี่ยนนามมหาธาตุวิทยาลัย
เป็นมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ซึ่งเป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมและวิชาการชั้นสูงของพระภิกษุสามเณร
โดยทรงมุ่งหมายจะให้จัดการศึกษาแบบตะวันตกทรงโปรดให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทยชุดละ
39 เล่ม จำนวน 1,000 ชุด ในปี พ.ศ.2435 ต่อมาปี พ.ศ.2436
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงจัดตั้ง "มหามกุฏราชวิทยาลัย" ขึ้น
เพื่อเป็นแหล่งศึกษาพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรฝ่ายธรรมยุตินิกาย เพื่อให้การปกครองสงฆ์มีความรัดกุมยิ่งขึ้น
พระองค์จึงโปรดให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ขึ้นใน พ.ศ.2445
ตรงกับ ร.ศ.121 (รัตนโกสินทร์ศก
121) นอกจากนี้พระองค์ยังทรงสร้างวัดใหม่ขึ้นหลายวัด เช่น
วัดวัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วัดอัษฎางนิมิตร วัดจุฑาทิศราชธรรมสภา
และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติทรงบูรณะวัดมหาธาตุ และวัดอื่นๆ อีก
ทรงนิพนธ์วรรณกรรมทางพุทธศาสนาจำนวนมาก
รัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2453 - 2468) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาปราดเปรื่องในทางพระศาสนามาก
ทรงนิพนธ์หนังสือพระพุทธศาสนาหลายเรื่อง เช่น เทศนาเสือป่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เป็นต้น
ทรงอบรมสั่งสอนธรรมะข้าราชการด้วยพระองค์เอง ในปี พ.ศ.2455
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงเปลี่ยนวิธีการสอบบาลีสนามหลวงจากปากเปล่ามาเป็นข้อเขียนเป็นครั้งแรก
ต่อมาอีกหนึ่งปีคือใน พ.ศ.2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ใช้พุทธศักราช
(พ.ศ.) แทน ร.ศ. และในปี พ.ศ.2462 -
2463 ทรงโปรดให้พิมพ์คัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎก
อรรถกถาชาดกและคัมภีร์อื่นๆ เช่น
วิสุทธิมรรค มิลินทปัญหา เป็นต้น
หลักสูตรนักธรรมที่เรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี้ทรงโปรดให้จัดการศึกษาขึ้นในปี
พ.ศ.2469 ก่อนหน้านั้นเรียกว่า "องค์ของสามเณรรู้ธรรม" ซึ่งมีการสอบครั้งแรกในเดือนตุลาคม
พ.ศ.2454
รัชกาลที่ 7 (พ.ศ.2468 - 2477) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงโปรดให้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ของประเทศไทยขึ้นในระหว่าง
พ.ศ.2468 - 2473เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
แล้วทรงให้จัดพิมพ์
พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐชุดละ 45 เล่ม จำนวน 1,500
ชุด พระราชทานแก่ประเทศต่างๆ ประมาณ 450 ชุด ซึ่งนับเป็นเกียรติประวัติของประเทศสยาม เพราะประเทศพุทธศาสนาอื่นๆ
ในครั้งนั้นยังไม่มีประเทศใดทำได้ ปี พ.ศ.2471 กระทรวงธรรมการหรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันได้จัดหลักสูตร "ธรรมศึกษา" เพื่อเปิดโอกาสให้ฆราวาสเรียนพระปริยัติธรรมอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
รัชกาลที่ 8 (พ.ศ.2477 - 2489) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย
2 ประเภท คือ
1. พระไตรปิฎก แปลโดยอรรถ พิมพ์เป็นเล่มสมุด 80 เล่ม
เรียกว่าพระไตรปิฎกภาษาไทย แต่เสร็จสมบูรณ์หลังจากสิ้นรัชกาลพระองค์ไปแล้วคือในปี
พ.ศ.2500 เพื่อฉลองในโอกาส 25 พุทธศตวรรษ
2. พระไตรปิฎก แปลโดยสำนวนเทศนา พิมพ์ลงใบลาน แบ่งเป็น 1,250 กัณฑ์ เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับหลวง เสร็จเมื่อปี พ.ศ.2492
ในปี พ.ศ.2484 รัฐบาลออก พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ.2484 เพื่อให้การปกครอง คณะสงฆ์มีความสอดคล้องเหมาะสมกับการปกครองแบบใหม่
ถัดมาอีก 4 ปี คือในปี พ.ศ.2488
มหามกุฏราชวิทยาลัยซึ่งตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2436
ได้ประกาศตั้งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ชื่อ "สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย"
รัชกาลที่ 9 (พ.ศ.2489 - ปัจจุบัน) ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
มีการจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมแผนกสามัญระดับประถมปลาย และมัธยมศึกษาปีที่ 1
- 6 ในปี พ.ศ.2514 ต่อมาปี
พ.ศ.2501 มีการจัดตั้งโรงเรียนพุทธศาสนาวัดอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก
ณ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อเปิดการสอนพุทธศาสนาแก่เด็กและเยาวชน
ต่อมาได้ขยายไปทั่วประเทศ
กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้วิชาพระพุทธศาสนาเป็นวิชาภาคบังคับแก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษา
ปีที่ 1-6
ในปี พ.ศ.2508 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกขึ้น
ณ ประเทศไทย (พ.ส.ล.) เพื่อเป็นศูนย์กลางของชาวพุทธทั่วโลก
นอกจากนี้ปัจจุบันมีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรมมากขึ้น
เพราะเข้าถึงประชาชนได้ง่ายและรวดเร็ว หากผู้แต่งเขียนได้ดีจะได้รับความนิยมจากผู้อ่านไม่แพ้นวนิยาย
เช่น หนังสือ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" เป็นต้น ซึ่งจัดพิมพ์ 30 กว่าครั้งแล้ว
ขายดีมากเข้าถึงผู้อ่านกว่าแสนคน
ในด้านพิธีกรรมมีการเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์เป็นพิธีของรัฐบาล
เรียกว่า "รัฐพิธี" โดยให้กระทรวงต่างๆ
เป็นผู้จัด มีการจัดงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาช่วงวันวิสาขบูชาของทุกปี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จแทนพระองค์ในพิธีเวียนเทียนในวันสำคัญทางพุทธศาสนา
เช่น วันวิสาขบูชา มาฆบูชา อาสาฬหบูชา ณ พุทธมณฑล ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อครั้งฉลอง 25
พุทธศตวรรษ
ที่มา :
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น