สมประสงค์
เสนารัตน์
นิสิตหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต
สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บทนำ
การศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
(Ethnographic
Studies) เป็นวิธีการศึกษาของสาขาวิชามานุษยวิทยา (Anthropological
Method) ต่อมานักวิจัยและนักวิชาการในสาขาอื่นๆ เช่น
ด้านสังคมศาสตร์ และด้านการศึกษาได้นาวิธีการนี้มาใช้ในศาสตร์ของตนเอง
การศึกษาชาติพันธุ์วรรณนาในยุคแรกๆ
ความสนใจจากัดอยู่เฉพาะการศึกษากลุ่มชนบางกลุ่มในสังคม เช่น กลุ่มชนที่ล้าหลัง
และชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาวนา กลุ่มชนในชนบท ต่อมาเริ่มขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น
ขยายความสนใจศึกษาไปยังกลุ่มทางสังคม วัฒนธรรม สถาบัน และองค์กรร่วมสมัย
แทบทุกรูปแบบ เช่น สังคมเกษตรกรรม กลุ่มกรรมาชีพ กลุ่มสตรี พระสงฆ์ สถาบันวัด
ครอบครัว โรงเรียน ชุมชนในเมือง ฯลฯ โดยได้ทาการศึกษาวัฒนธรรม ความคิด
ความเป็นอยู่ของคนกลุ่มนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง
แต่ที่ผ่านมาการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอดจากทั้งคนในวงการวิจัยเชิงคุณภาพและจากภายนอก
ประเด็นที่ภายนอกวิพากษ์กันมากก็คือ เรื่องความไม่เข้มงวดของระเบียบวิธีวิจัย
ทั้งประเด็นการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
และมีการตอบโต้ในประเด็นดังกล่าวโดยพยายามปรับปรุงวิธีการ
แต่โดยภาพรวมแล้ววิธีการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาก็ยังคงความเป็น “เชิงคุณภาพ” อย่างเต็มรูปแบบ (ชาย โพธิสิตา. 2550:
153)
ความหมาย
ชาย
โพธิสิตา (2548:34) ให้ความหมายของชาติพันธุ์วรรณนาไว้ว่า ชาติพันธุ์วรรณนา
หมายถึง กระบวนการสังเกตพฤติกรรม
และวิถีชีวิตของกลุ่มทางสังคมและวัฒนธรรมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แล้วรายงานโดยละเอียดถึงพฤติกรรม ความเชื่อ ความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ
ตลอดจนค่านิยมอันเป็นผลมาจากพฤติกรรมของคนในกลุ่มนั้นๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
ชาติพันธุ์วรรณนาเป็นการพรรณนาถึงวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมของคนในสังคมใดสังคมหนึ่ง
โดยปกตินักชาติพันธุ์วรรณนากับนักมานุษยวิทยา
เป็นคนๆ
เดียวกัน
ทั้งนี้ก็เพราะชาติพันธุ์วรรณนาเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่นักมานุษยวิทยาใช้ศึกษา “วัฒนธรรม” ของคนในสังคม
อลิศรา
ศิริศรี (2541:20) ให้ความหมายของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic
Research) ว่า เป็นการศึกษาวัฒนธรรม โดยวัฒนธรรม หมายถึง
ลักษณะของการดาเนินชีวิตของบุคคล หรือของกลุ่มบุคคลในสังคมหนึ่งๆ
หรือในชุมชนหนึ่งๆ ตามความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา
และภาษา
ศุภกิจ
วงศ์วิวัฒนนุกิจ (2550: 90-91) กล่าวว่า Ethnography เป็นการศึกษาทางชนชาติวิทยา
และการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
เป็นแนวทางหนึ่งในการวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งอธิบาย และตีความข้อมูลทางสังคม เจตคติ
ความเชื่อ ความรู้สึก วัฒนธรรม และพฤติกรรมของมนุษย์ โดยมีวิธีการเก็บข้อมูลหลายๆ
วิธีในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นักวิจัยต้องแฝงตัวเองเข้าไป
คลุกคลีอยู่กับประชากรในชุมชนหรือท้องถิ่นที่ต้องการศึกษา
เพื่อได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม
และวิถีการดาเนินชีวิตที่เป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการแสดงออกของความรู้สึกและพฤติกรรมต่างๆ
ของประชากรจนได้ข้อมูลเพียงพอที่จะนาไปวิเคราะห์ แปลผล
สรุปผลหรือสร้างทฤษฎีเพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมทางวัฒนธรรมของประชากรได้
โดยทั่วไปการศึกษาทางชนชาติวิทยาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) ระดับมหัพภาค (macroethnography)
ที่เน้นถึงวัฒนธรรมในภาพกว้าง และ (2) ระดับจุลภาค (micro ethnography)
ที่เน้นวัฒนธรรมที่แคบลงมาในขนาดประชากรที่น้อยลง
หรืออาจเป็นการศึกษาเฉพาะกรณีในหน่วยงาน
Geertz
(อลิศรา ศิริศรี.2541: 250. อ้างอิงจาก Geertz: 1975) กล่าวว่า การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา คือ
การนาตัวเราหรือผู้วิจัยเข้าไปสู่ สิ่งที่ Geertz เรียกว่า “Thick
Description” หมายถึง ความพยายามที่จะบรรยายหรือพรรณนา (Describe)
อย่างละเอียดลึกซึ้งถึงเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ หรือสิ่งที่เกิดขึ้น
การตีความหมายหรือหาความหมาย (Interpretation) เพื่อที่จะอธิบายถึงลักษณะและความเป็นไปอันสลับซับซ้อนของสังคมนั้นๆ
LeCompte
and Schensul (ชาย โพธิสิตา. 2550: 148. อ้างอิงจาก LeCompte
and Schensul.1999a: 1) เห็นว่า
ชาติพันธุ์วรรณนาเป็น “วิธีการศึกษาชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน
สถาบัน รวมถึงกลุ่มหรือองค์กรในรูปแบบอื่นๆ วิธีการนี้มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์
เป็นการค้นคว้าหาข้อเท็จจริง
ใช้ตัวนักวิจัยเป็นเครื่องมือหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ใช้วิธีการเก็บข้อมูลที่เคร่งคัดเพื่อหลีกเลี่ยงอคติและเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของประชาชนผู้ให้ข้อมูล ใช้วิธีดาเนินการวิจัยแบบอุปนัย
สร้างทฤษฎีขึ้นมาจากท้องถิ่นที่ศึกษาเพื่อทาการทดสอบและปรับใช้ภายในท้องถิ่นและกับที่อื่น
Stewart
(ชาย โพธิสิตา.2550: 148. อ้างอิงจาก LeCompte and Schensul.
1998) หลีกเลี่ยงที่จะให้ความหมายในเชิงนิยาม
แต่กล่าวถึงลักษณะสำคัญของวิธีการนี้ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้คือ
ใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
เป็นการวิจัยที่เน้นความเป็นองค์รวม เป็นการวิจัยที่
ให้ความสำคัญแก่บริบท
รวมทั้งมีการพรรณนาและการวิเคราะห์ที่เน้นปัจจัยทางวัฒนธรรมและสังคมเป็นตัวแปรสำคัญ
William
Wiersma (1986: 16)
ได้กล่าวถึงชาติพันธุ์วรรณนาว่าเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง
เป็นเรื่องของการพรรณนาวิเคราะห์สถานการณ์ทางวัฒนธรรมที่เฉพาะเจาะจง
ส่วนความหมายกว้างๆ
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมของการศึกษา
การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาจึงเป็นเรื่องทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับมานุษยวิทยาแต่มีการนามาใช้ในการศึกษา
จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า
ชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography)
เป็นการศึกษาทางชนชาติวิทยา
และการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาเป็นแนวทางหนึ่งของการวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งอธิบายและตีความข้อมูลทางสังคม
เจตคติ ความเชื่อ ความรู้สึก วัฒนธรรม ภาษา และพฤติกรรมของมนุษย์
วิถีชีวิตของกลุ่มคนในสังคม
โดยใช้วิธีการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งผู้วิจัย
จะเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการเก็บข้อมูลที่เคร่งครัด
เพื่อหลีกเลี่ยงอคติและให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง การวิเคราะห์ข้อมูลเน้นการพรรณนา
และการวิเคราะห์ที่เน้นปัจจัยทางวัฒนธรรมและสังคมเป็นตัวแปรสำคัญ
โดยทั่วไปการศึกษาทางชนชาติวิทยาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) ระดับมหัพภาค (macro
ethnography) ที่เน้นถึงวัฒนธรรมในภาพกว้าง และ (2) ระดับจุลภาค (micro
ethnography) ที่เน้นวัฒนธรรมที่แคบลงมาในขนาดประชากรที่น้อยลง
หรืออาจเป็นการศึกษาเฉพาะกรณีในหน่วยงาน
จุดมุ่งหมาย
ในช่วงแรกชาวตะวันตกเป็นผู้ริเริ่มศึกษาวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ที่จะมีความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนกลุ่มอื่น
เพื่อประโยชน์ในการติดต่อและเปลี่ยนแปลงสังคม (อลิศรา ศิริศรี. 2541: 249)
ดังนั้นในระยะแรกจึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มชนหรือสังคมว่าเป็นอย่างไร
(นิศา ชูโต.2548: 38;
อลิศรา ศิริศรี.2541: 249; ชาย โพธิสิตา.
2550: 150; ทรงคุณ จันทจร. 2549: 7) เป็นการศึกษาถึงวัฒนธรรม
ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเป็นอยู่ การดาเนินชีวิต ความเชื่อ ของกลุ่มชนหนึ่งๆ
อย่างละเอียด (นิศา ชูโต.2548: 38; อลิศรา ศิริศรี.2541: 249;
ทรงคุณ จันทจร. 2549: 7)
และในปัจจุบันวัตถุประสงค์ของการศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
มีแนวโน้มที่มุ่งทาความเข้าใจปัญหาเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง (problem-oriented)
มากขึ้น
แทนที่จะเป็นการศึกษาเพื่อพรรณนาหรือทาความเข้าใจชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยรวมๆ
เช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม ประเด็นเจาะจงที่ศึกษาอาจมีหลากหลาย เช่น
พฤติกรรมเสี่ยงต่อ HIV/AIDS ของคนในชุมชน การรับนวัตกรรมทางการเกษตร
พฤติกรรมการใช้ยาในชุมชน ความรุนแรงในครอบครัว การเลี้ยงดูเด็กในชุมชนเมือง ฯลฯ
จากพัฒนาการใหม่นี้ทาให้มีการใช้ชาติพันธุ์วรรณนาเป็นการวิจัยประยุกต์ คือ
ทาการวิจัยเพื่อหาทางแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งมากขึ้น นั่นหมายความว่า
เนื้อหาและการดาเนินการวิจัยก็จะมุ่งการวิเคราะห์และใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะเจาะจงปัญหาในการวิจัย
แต่ลักษณะสำคัญของการเป็นชาติพันธุ์วรรณนา ก็ยังเป็นเรื่องของการมุ่งทาความ
เข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มชน
ไม่ใช่ของบุคคล และการวิเคราะห์เชิงชาติพันธุ์วรรณนานั้น ให้ความสาคัญแก่ปัจจัยทางสังคม
วัฒนธรรมเป็นพิเศษ แม้จะรวมเอาปัจจัยอื่นเข้ามาด้วยก็ตาม
ทั้งนี้เพราะมโนทัศน์ทางวัฒนธรรมและสังคมยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
(ชาย โพธิสิตา. 2550: 153)
จะเห็นได้ว่า
การศึกษาวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาเป็นการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มชนหรือสังคม
ไม่ใช่บุคคล ถึงแม้พัฒนาการของการศึกษาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
จุดมุ่งหมายของการศึกษาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า
การศึกษาวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มชนหรือสังคม
รูปแบบวิธีดาเนินการวิจัย
1.
ขั้นตอนในการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
อลิศรา
ศิริศรี (2541: 251-256) ได้เสนอขั้นตอนการทาวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาไว้ 4
ขั้นตอนดังนี้
1.1
การเข้าสู่สนามและการกำหนดบทบาทผู้วิจัย (Entry to the field & Establishing
the role)
1.2
การเก็บรวบรวมข้อมูล (Collecting
Data)
1.3
การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis
of Data)
1.4
การเสนอผลสรุปการวิจัย (Presenting
the Study)
1.1
การเข้าสู่สนามและการกำหนดบทบาทผู้วิจัย อลิศรา ศิริศรี (2541: 251-252)
ได้เสนอแนวทางการเข้าสู่สนามและการกาหนดบทบาทผู้วิจัยไว้ดังนี้
1)
ผู้วิจัยจะต้องทาตนเองให้คุ้นเคยกับสถานที่ สถานการณ์ สภาพการณ์
สิ่งแวดล้อมที่ต้องการศึกษาโดยคร่าวๆ
2)
ผู้วิจัยกำหนดบทบาทของตนเองในสภาพการณ์นั้นให้แน่ชัด ว่า ตนเองเป็นใคร
และจะมาทาอะไรในสังคมนั้น
3)
ผู้วิจัยจาเป็นต้องชี้แจงและแนะนาตนเองกับสมาชิกหรือบุคคลในสังคมนั้นที่ตนเองจะต้องเกี่ยวข้องด้วย
4)
ผู้วิจัยจะต้องแสดงบทบาทให้สอดคล้องกับที่ได้ชี้แจงไว้
1.2
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล (Collecting
Data) กระบวนการศึกษาวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาจะมีลักษณะการดาเนินงานที่ต่อเนื่องและมีลักษณะของการเหลื่อมล้า
เช่น การเก็บข้อมูลนี้จะเริ่มตั้งแต่ผู้วิจัยได้ย่างก้าวเข้าสู่สภาพการณ์นั้น
ผู้วิจัยจะเริ่มสังเกตเก็บข้อมูลเบื้องต้นง่ายๆ อาจจะเป็น
ลักษณะสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
เช่น ลักษณะการจัดโต๊ะเรียน ม้านั่ง โต๊ะครู การจัดบอร์ด
นอกจากนี้อาจสังเกตลักษณะของบุคคลโดยทั่วๆ ไป เป็นต้น
เทคนิคในการเก็บข้อมูลของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาควรมีวิธีการหลักอย่างน้อย 3
วิธี (อลิศรา ศิริศรี. 2541: 252) คือ
1.2.1
การสังเกต (Observation)
สาหรับการสังเกตนี้มีหลายรูปแบบ
แต่ที่เป็นหัวใจของการศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณนา คือ การเข้าไปอยู่ในสังคมหรือสนามที่ศึกษาเพื่อทาการสังเกตแบบมีส่วนร่วม
(Participant Observation) ในการศึกษาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม
ประเพณี ความเป็นอยู่ ความเชื่อ การดาเนินชีวิตต่างๆ อย่างละเอียดพิสดาร (Intensive
Field Work) (นิศา ชูโต. 2548: 38; ชาย
โพธิสิตา. 2550: 155) ด้วยการเป็นผู้สังเกตที่อยู่ในเหตุการณ์สภาพการณ์จริง
ร่วมเป็นสมาชิกทากิจกรรมกลุ่ม
แต่ในขณะเดียวกันผู้วิจัยจะต้องทาตนเป็นกลางไม่เข้ากับกลุ่มสมาชิกย่อยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ทาตัวไม่เข้ากับฝ่ายใด (อลิศรา ศิริศรี. 2541: 252)
1.2.2
การสัมภาษณ์ (Interview)
เป็นวิธีการเก็บข้อมูลที่สาคัญอีกอย่างหนึ่ง
ลักษณะของการสัมภาษณ์นั้นควรจะแบ่งออกมาในลักษณะของการสนทนา (Conversation)
มากกว่าที่จะเป็นการสัมภาษณ์ตามรูปแบบที่เราคุ้นเคย
แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความคิด ข้อมูล
ประสบการณ์ระหว่างผู้วิจัยกับสมาชิกของสังคมมากกว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยเป็นฝ่ายป้อนคาถามต่างๆ
และรอรับคาตอบจากผู้ถูกสัมภาษณ์ ลักษณะของคาถามจะเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์และบุคคล
(อลิศรา ศิริศรี. 2541: 252; นิศา ชูโต. 2548: 40)
ในการสัมภาษณ์นี้อาจจะจัดรูปแบบทั้งลักษณะเป็นทางการ (Formal Interview) และไม่เป็นทางการ (Informal Interview) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลและเหตุการณ์
1.2.3
การศึกษาวิเคราะห์เอกสาร (Document
Analysis) เอกสารต่างๆ
ที่จะใช้ในการวิเคราะห์นั้นมีอยู่หลายรูปแบบนับตั้งแต่หนังสือพิมพ์ ทะเบียนประวัติ
จดหมายติดต่อหรืออาจจะเป็นจดหมายติดต่อระหว่างหน่วยงานหรือภายในหน่วยงาน
บันทึกข้อความท้ายจดหมาย จดหมายเหตุบันทึกประจาวัน
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นกิจวัตรประจา ความคิดพื้นฐานของสังคมนั้น
นอกจากนี้ยังมีบรรดาภาพถ่าย ภาพยนตร์ เหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงบรรทัดฐาน ค่านิยม
การดาเนินชีวิตของกลุ่มสังคมนั้นได้ในอีกลักษณะหนึ่ง และยังเป็นการยืนยันข้อมูลที่ได้มา
โดย 2 วิธีแรก
นอกเหนือจากนี้สิ่งที่ผู้วิจัยสามารถที่จะนามาศึกษาและวิเคราะห์ได้อีก ได้แก่
นิทานพื้นบ้าน คาพังเพย คาสอน คาขวัญ เพลงกล่อมเด็ก (อลิศรา ศิริศรี. 2541: 252)
และการศึกษาจากข้อมูลประวัติศาสตร์ การบอกเล่าของผู้รู้ (ชาย โพธิสิตา. 2550: 156)
1.3
การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis
of Data) อลิศรา ศิริศรี (2541: 254)
ได้กล่าวถึงการศึกษาวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาว่ามีรูปแบบการเก็บรวบรวมข้อมูลในหลายลักษณะ
หลายวิธี และระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บข้อมูลแตกต่างกัน การศึกษาวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนามีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือ
ขั้นตอนการวิจัยเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและอาจจะเกิดขึ้นพร้อมกันได้
ผู้วิจัยไม่จาเป็นต้องรอให้การเก็บข้อมูลเสร็จ จึงเริ่มวิเคราะห์ข้อมูล
เพราะการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถทาได้ตั้งแต่เริ่มกระบวนการเก็บข้อมูล เช่น ในขณะที่เราจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ
ผู้วิจัยอาจเกิดแนวคิดเกี่ยวกับการ
วิเคราะห์ข้อมูล
ซึ่งการที่ผู้วิจัยได้มีโอกาสวิเคราะห์ข้อมูลในระหว่างกระบวนการเก็บข้อมูลนี้
เป็นการช่วยปรับปรุงแนวทางที่จะเก็บข้อมูลต่อไป
เป็นการช่วยกาหนดจุดความสนใจในการวิจัยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการวัดประเมินอย่างต่อเนื่องว่า
ผู้วิจัยรู้อะไรบ้างแล้ว และอะไรที่ควรจะรู้เพิ่มอีก
สิ่งที่ผู้วิจัยจะต้องระลึกไว้ว่าเหตุการณ์หรือสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว
หากมาเก็บข้อมูลในภายหลัง
ข้อมูลที่ได้รับจะไม่เหมือนหรือไม่สามารถที่จะเทียบเท่ากับการเก็บข้อมูลในขณะที่เกิดเหตุการณ์นั้น
ขั้นตอนกระบวนการของการศึกษาวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาจึงยืดหยุ่น
เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องสัมพันธ์กับสภาพการณ์ขณะนั้น
หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
ในการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นมีหลายรูปแบบทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของเรื่องที่ศึกษา
การสรุปและการวิเคราะห์ข้อมูลขึ้นอยู่กับการแปลความหมายของผู้วิจัย
ผู้วิจัยไม่สามารถที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าถึงข้อมูลที่จะได้หรือแม้แต่การกาหนดถึงลักษณะของการวิเคราะห์ข้อมูล
และการเสนอผล
ทั้งนี้เพราะว่าวัตถุประสงค์ของการศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณนามุ่งที่จะความพยายามที่จะเข้าใจการกระทาของบุคคลในสภาพการณ์
และสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติในสถานที่ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ความพยายามศึกษา
เข้าใจบุคคลในสภาพแวดล้อมในสังคมที่เขาเป็นอยู่
ในสังคมที่เขาดาเนินชีวิตอยู่เป็นประจา
การวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
สามารถทาเหมือนการวิจัยเชิงคุณภาพทั่วไป คือ
การนาข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาจัดเก็บให้เป็นระบบระเบียบ การนาเสนอข้อมูล
และตีความและการหาข้อสรุป แต่ก่อนที่จะวิเคราะห์ข้อมูล
ควรมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อน
ซึ่งในการวิจัยเชิงคุณภาพมีเทคนิคหนึ่งที่ได้รับความนิยมนามาใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
คือ เทคนิคสามเส้า (Triangulation
Technique) เทคนิคนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท (ศุภกิจ วงศ์วิวัฒนนุกิจ.
2550: 276) ได้แก่
(1)
ต่างวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล (method triangulation) เป็นการใช้หลายๆ
วิธีในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เช่นเก็บรวบรวมข้อมูลในเรื่องเดียวกันจากกลุ่มตัวอย่างเดียวกัน ด้วยวิธีการสังเกต
สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลจากเอกสาร แล้วนาข้อมูลมาตรวจสอบยืนยันกัน
(2)
ต่างแหล่งข้อมูล (data
sources triangulation) เป็นการตรวจสอบข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งที่ต่างกันนั้นด้วยวิธีการเก็บข้อมูลเหมือนกัน
หรือใช้ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเดียวกันแต่ต่างเวลา สถานที่ และบุคคล
แล้วนาข้อมูลมาตรวจสอบยืนยันกัน
(3)
ต่างนักวิจัย (investigator
triangulation) เป็นการใช้นักวิจัยที่มาจากต่างสาขา
หรือต่างประสบการณ์ หรือต่างภูมิหลังมาเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล
แล้วนาผลการวิจัยมาตรวจสอบยืนยันกัน
(4)
ต่างทฤษฎีหรือแนวคิด (theory
triangulation) เป็นการใช้ทฤษฎีหลายๆ
ทฤษฎีมาเป็นแนวทางในการอภิปรายข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัย
ซึ่งอาจจะสอดคล้องหรือขัดแย้งกันก็ได้
1.4
การเสนอผลสรุปของการวิจัย (Presenting the study) อลิศรา
ศิริศรี (2541: 255-256) ได้กล่าวว่า การที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากการสังเกต
การสัมภาษณ์ หรือการวิเคราะห์เอกสาร
ผู้วิจัยต้องใช้เวลานานในการเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้
ข้อมูลที่ได้จะมีลักษณะเป็นเชิงพรรณนา มีปริมาณของข้อมูลจานวนมากนับร้อยหน้า การที่จะนามาวิเคราะห์ทั้งหมดก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณผลการศึกษามาก
ขึ้น
ดังนั้น จึงจาเป็นจะต้องมีวิธีการและรูปแบบของการเสนอรายงานผลการวิจัย
โดยต้องคานึงถึงประเด็นสำคัญและลักษณะกลุ่มของผู้อ่าน
หรือผู้ที่จะรับฟังรายงานการวิจัยเป็นหลัก เช่น ถ้าเป็นการเสนอต่อคณะกรรมการวิชาการ
ผู้วิจัยจะต้องอธิบายถึงรายละเอียดของสภาพการณ์
การเสนอข้อมูลบางอย่างได้ในรายละเอียด แม้กระทั่งข้อคิดเห็นของผู้วิจัยเอง
แต่ถ้าให้ผู้ฟัง หรือผู้อ่านที่เป็นผู้ที่อยู่ในระดับนโยบาย
การสรุปอาจจะต้องทาให้สันกะทัดรัดและชัดเจน โดยทั่วไปอาจเป็นการบรรยายสรุป
โดยนาตัวอย่างข้อมูลบางอย่างมาใช้สนับสนุนการวิเคราะห์หรือการเสนอผลงานได้
อย่างไรก็ตามการตัดสินใจการให้คุณค่าของการศึกษาวิจัยนั้น
ขึ้นอยู่กับผู้อ่านที่จะตัดสินใจด้วยตัวผู้อ่านเอง
ลักษณะดังกล่าวจะแตกต่างไปจากการเสนอผลการวิจัยในแนวอื่น
การศึกษาวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาเป็นการศึกษาสภาพการณ์ที่มีอยู่
เป็นอยู่จริง
จึงทาให้ได้พบเห็นปัญหาและความเป็นจริงในการดาเนินชีวิตของบุคคลในสังคมนั้นๆ
ซึ่งสิ่งที่ผู้วิจัยพบ หรือผลของการศึกษาอาจจะให้ทั้งผลดีและผลเสียต่อบุคคลนั้น
หรืออาจจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของบุคคลในองค์กรนั้น ดังนั้น
จึงอาจเกิดปัญหาขัดแย้งได้ว่าผู้วิจัยควรที่จะเสนอผลการวิจัยในลักษณะใด
หรือเสนอผลงานอย่างไรเพื่อทีจะหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบุคคล
หรือสมาชิกของสังคมนั้น Rainwater
& Pittman (อลิศรา ศิริศรี. 2541: 256 ; อ้างอิงจาก
Rainwater & Pittman.1976)
ได้เสนอแนวทางออกของปัญหานี้ไว้ว่า ผู้วิจัยควรสงวนนาม
และปกป้องบุคคลที่เป็นแหล่งข่าว หรือแหล่งข้อมูลที่ทาการศึกษา
ซึ่งอาจเป็นการลดปัญหาดังกล่าวได้
2.
การกาหนดตัวอย่าง
ชาย
โพธิสิตา (2550: 156-159) ได้กล่าวถึงการเลือกตัวอย่างเพื่อการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
(รวมถึงการวิจัยเชิงคุณภาพทุกชนิดด้วย) ไว้ว่า
เป็นการใช้วิธีเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง คือ
นักวิจัยสรรหาตัวอย่างที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับเรื่องที่จะทาการศึกษา
ที่ว่าเหมาะสมคือ เป็นตัวอย่างที่สามารถให้ข้อมูลได้หลากหลาย
ซึ่งจะเอื้อต่อการวิเคราะห์และนาไปสู่ความเข้าใจประเด็นการวิจัยที่ดีที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสนับสนุนหรือแย้งกับแนวคิดของการวิจัยก็ตาม
ไม่ใช่มองหาเฉพาะตัวอย่างที่สนับสนุนอย่างเดียว
กลุ่มตัวอย่างต้องสามารถให้ข้อมูลที่หลากหลายและพอเพียงสาหรับการวิเคราะห์
แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวอย่างใดเหมาะสมและสามารถให้ข้อมูลได้มากหรือน้อย
นี่เป็นเรื่องที่ยาก เพราะไม่มีสูตรสาเร็จในการเลือกใช้
ในเบื้องต้น
สิ่งที่จะให้แนวทางในการตัดสินใจว่าจะเลือกตัวอย่างในการวิจัยอย่างไรดี คือ
คาถามในการวิจัยที่นักวิจัยต้องการหาคาตอบ จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของการวิจัย
และกรอบแนวคิดทฤษฎีในการวิจัย (ชาย โพธิสิตา. 2550: 157) ดังนี้
1)
คาถามในการวิจัยที่นักวิจัยต้องการหาคาตอบ (Research questions) หมายถึง
สิ่งที่นักวิจัยต้องการรู้หรือต้องการหาคาตอบ อันเป็นที่มาของการวิจัยเรื่องนั้น
ในการออกแบบส่วนนี้ควรพยายามตอบคาถามเหล่านี้ คือ ในการวิจัยเรื่องนี้เราต้องการรู้หรือทาความเข้าใจอะไรบ้าง
มีสิ่งใดบ้างที่ยังไม่มีใครรู้แต่เราอยากรู้
ในการวิจัยนี้เราจะสามารถตอบคาถามอะไรบ้าง และคาถามเหล่านี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร
คาถามการวิจัยเป็นองค์ประกอบที่สาคัญมาก ในการออกแบบองค์ประกอบส่วนอื่นๆ ทั้งหมด
นักวิจัยจะต้องคานึ่งถึงคาถามการวิจัยก่อนเสมอ ดังนั้น
คาถามจึงทาหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของการออกแบบการวิจัย (ชาย โพธิสิตา. 2550:
108-109)
2)
จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของการวิจัย (Purpose) : หมายถึง
เป้าหมายที่นักวิจัยต้องการจะบรรลุถึงในการวิจัยเรื่องนั้น
รวมถึงสิ่งที่ต้องการจะทาในกระบวนการวิจัย
อันจะช่วยให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการนั้นได้
ในการออกแบบจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของการวิจัยควรพยายามตอบคาถามเหล่านี้ :
เป้าหมายเหล่านั้นมีความสาคัญอย่างไร? ทาไมจึงควรมีการวิจัยเรื่องนั้น?
มีเหตุผลอะไรที่เราต้องให้ความสาคัญแก่เรื่องนั้น? และการวิจัยเรื่องนั้นมีคุณค่าเพียงใด
ทั้งในด้านเพิ่มพูนความรู้และในทางนโยบาย (ชาย โพธิสิตา. 2550: 109)
3)
กรอบแนวคิดทฤษฎีในการวิจัย (Conceptual context): หมายถึง
กรอบมโนทัศน์ หรือมุมมองที่นักวิจัยจะใช้ในการตอบคาถามการวิจัยที่ตั้งเอาไว้
แนวคิดในการวิจัยจะบอกเราว่า ปรากฏการณ์ หรือสิ่งที่เราศึกษานั้นน่าจะเป็นอย่างไร
มีทฤษฎีข้อค้นพบ และกรอบแนวคิดอะไรบ้างที่จะเป็นแนวทางในการศึกษาของเรา
มีการศึกษาที่ผ่านมา ผลการทดลองศึกษาในเบื้องต้น
หรือประสบการณ์ส่วนตัวของนักวิจัยอะไรบ้างที่พอจะนามาใช้ประโยชน์ในการศึกษาครั้งนี้
การออกแบบจะเกี่ยวกับทฤษฎีที่มีอยู่แล้วหรือที่เราจะสร้างขึ้นมาเองเพื่อทาความเข้าใจประเด็นที่เราจะศึกษา
ทฤษฎีเราอาจได้มาจาก 4 แนวทาง คือ 1) จากประสบการณ์ส่วนตัวของเรา 2)
จากทฤษฎีหรือการวิจัยที่คนอื่นทาไว้แล้ว 3) จากการศึกษานาร่อง และ 4)
จากการคิดสังเคราะห์ขึ้นมาเองของนักวิจัย (ชาย โพธิสิตา. 2550: 109)
ขั้นตอนต่อไป
นักวิจัยต้องทาความรู้จักประชากร
และ/หรือปรากฏการณ์/สถานที่ที่อยู่ในข่ายเหล่านั้นให้ดีขึ้น
นักวิจัยต้องหาข้อมูลทั่วไปจากประชากรกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในข่ายจะถูกเลือกเป็นตัวอย่างในการศึกษาได้
ขั้นตอนนี้จาเป็น
เพราะถ้าปราศจากข้อมูลเบื้องต้นที่เพียงพอเกี่ยวกับประชากรเป้าหมายของการศึกษาแล้ว
การเลือกตัวอย่างไม่ว่าจะด้วยวิธีสุ่ม อย่างเช่นในการวิจัยเชิงปริมาณ
หรือด้วยวิธีเจาะจงในการวิจัยเชิงคุณภาพ ก็แทบไม่มีความหมายอะไร ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรหรือกลุ่มที่เราสนใจนั้นอาจหาได้จากเอกสาร
สิ่งพิมพ์ สารคดี ห้องสมุด รายงานการวิจัย หน่วยงานราชการ การสนทนากับผู้รู้
รวมทั้งการเข้าไปติดต่อหาข้อมูลเบื้องต้นจากประชากรและสถานที่ที่อยู่ในข่ายความสนใจด้วยตัวเอง
ถ้าสามารถทาได้ (ชาย โพธิสิตา. 2550: 157-158)
การวิจัยเชิงคุณภาพต้องศึกษาเจาะลึกในกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก
การเลือกตัวอย่างที่จะให้ได้ความเป็นตัวแทนดังที่กาหนดในการวิจัยเชิงปริมาณนั้น
อาจเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้
เว้นแต่ว่าเราจะนิยามความเป็นตัวแทนต่างออกไป การเลือกตัวอย่างในการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาตั้งต้นจากแนวคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่ต้องการว่า
ถ้าเลือกตัวอย่างแบบนี้ จะมีความหมายอย่างไรในเรื่องข้อมูล? และข้อมูลนั้นจะให้อะไรบ้างในการทาความเข้าใจประเด็นที่ศึกษา? โดยสรุปก็คือ นักวิจัยต้องตอบคาถามว่าทาไมตัวอย่างนั้น (ชุมชน เหตุการณ์ ปรากฏการณ์
ฯลฯ) จึงควรเลือกหรือไม่ควรเลือกสาหรับการศึกษาของตน
ตัวอย่างนั้นมีความเหมาะสมกับจุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ คาถามในการวิจัย
และกรอบแนวคิดในการวิจัยมากน้อยเพียงใด
มีตัวอย่างอื่นที่เหมาะสมกว่านี้หรือไม่ เมื่อตอบคาถามเหล่านี้ได้เป็นที่พอใจแล้ว
จึงนาประเด็นที่เกี่ยวข้องอื่นมาพิจารณา (ชาย โพธิสิตา. 2550: 158)
ประเด็นอื่นที่ว่านั้นอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปได้
ความสะดวก เวลา และทรัพยากรที่มีอยู่ของนักวิจัย ให้นักวิจัยสร้างเกณฑ์กว้างๆ
สาหรับพิจารณาในการเลือกตัวอย่าง 3 ชนิด คือ เกณฑ์เกี่ยวกับสิ่งอานวยความสะดวก
เกณฑ์ที่ใช้กาหนดคุณสมบัติว่าอะไรที่เข้าข่ายและอะไรที่ไม่เข้าข่าย
สาหรับการศึกษาที่วางแผนเอาไว้
และเกณฑ์เกี่ยวกับข้อมูลว่าตัวอย่างที่นักวิจัยกาลังพิจารณาอยู่นั้นน่าจะให้ข้อมูลที่ต้องการได้เพียงพอหรือไม่
สาหรับคาถามที่ว่า ควรจะสร้างเกณฑ์ไว้สูงต่าแค่ไหนนั้น
ไม่มีคาตอบที่เป็นสูตรสาเร็จ
นักวิจัยต้องใช้ความรู้และวิจารณญาณของตนเองในการตัดสินใจ (ชาย โพธิสิตา. 2550:
158)
เมื่อเลือกตัวอย่าง
ซึ่งอาจจะเป็นชุมชน เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่จะศึกษาได้แล้ว
ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มกระบวนการเก็บข้อมูล ในกระบวนการเก็บข้อมูลนั้น
นักวิจัยอาจจะต้องเลือกผู้ให้ข้อมูลที่เหมาะสมสาหรับแต่ละเรื่องอีก
ผู้ให้ข้อมูลนี้เรียกว่า Key
informants คือ ผู้ที่ทรงความรู้ มีประสบการณ์
มีแนวความคิดที่น่าสนใจในชุมชน หรือในบางครั้งอาจเป็นผู้รู้ในท้องถิ่นก็ได้
นอกจากนี้แล้ว ในการศึกษา นักวิจัยอาจต้องการเลือกตัวอย่างบางรายมาทาการศึกษาลงลึกเป็นกรณีพิเศษ
เพื่อสนับสนุนข้อสรุปหรือการตีความของตน กรณีเช่นนี้ควรเป็นกรณีที่เด่นๆ
ทั้งในเชิงสนับสนุนและในเชิงแย้งกับข้อสรุปของนักวิจัย
และควรเป็นกรณีที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ได้มากและลึกกว่ารายอื่นๆ
การเลือกตัวอย่างเพื่อศึกษาเป็นกรณีพิเศษเช่นนี้
ควรเลือกหลายรายและกระจายให้ครอบคลุมความหลากหลายของประชากรเป้าหมายของการศึกษาพอสมควร
อย่างไรก็ตาม การกระจายนั้นก็ไม่ใช่มุ่งให้ได้ความเป็นตัวแทนเป็นหลัก
แต่เพื่อความหลากหลายของตัวอย่างมากกว่า (ชาย โพธิสิตา. 2550: 158-159)
3.
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
เครื่องมือสาคัญที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ ตัวนักวิจัยเอง (ชาย โพธิสิตา.
2550: 148) โดยนักวิจัยต้องแฝงตัวเองเข้าไปคลุกคลีอยู่กับประชากรในชุมชนหรือท้องถิ่นที่ต้องการศึกษา
เพื่อได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและวิถีการดาเนินชีวิต
ที่เป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการแสดงออกของความรู้สึกและพฤติกรรมต่างๆ
ของประชากรจนได้ข้อมูลเพียงพอที่จะนาไปวิเคราะห์ แปลผล
สรุปผลหรือสร้างทฤษฎีเพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมทางวัฒนธรรมของประชากรได้ (ศุภกิจ
วงศ์วิวัฒนนุกิจ 2550: 90-91)
วิธีการเชิงชาติพันธุ์วรรณนากับการนาไปใช้
วิธีการวิจัยมีมากมายหลายประเภท
แต่ละประเภทก็มีความเหมาะสมกับสภาพปัญหา ความต้องการ
และมีเงื่อนไขสภาพแวดล้อมแตกต่างกันไป จึงไม่มีการวิจัยรูปแบบใดจะเหมาะสมกับสภาพ
ปัญหา
ความต้องการ
และสภาพแวดล้อมการวิจัยได้เหมาะที่จะใช้ได้กับหัวข้อและเงื่อนไขการวิจัยทุกชนิด
รูปแบบการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาก็เช่นเดียวกัน มีเพียงปัญหา ความต้องการ
และเงื่อนไขสภาพแวดล้อมบางอย่างเท่านั้นที่เหมาะสาหรับวิธีการเช่นนี้
การนาวิธีนี้ไปใช้ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการ
และเงื่อนไขและสถานการณ์แวดล้อม แทนที่จะได้ผลการวิจัยที่มีคุณภาพ
อาจจะไม่ได้ผลการวิจัยที่คุณภาพ รวมทั้งเสียเวลาและทรัพยากรอื่นๆ ดังนั้น
ก่อนที่จะนารูปแบบการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาไปใช้งาน
นักวิจัยจึงควรทาความเข้าใจว่าชาติพันธุ์วรรณนาเหมาะที่จะใช้ในสถานการณ์และเพื่อวัตถุประสงค์อย่างไรบ้าง
ในประเด็นเรื่องการนาไปใช้นี้ ชาย โพธิสิตา (2550: 159-161) ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ 5
ข้อ ดังนี้
1)
ใช้วิธีการเชิงชาติพันธุ์วรรณนา เมื่อต้องการหาความรู้ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน
เกี่ยวกับชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือองค์กรอย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรม
การใช้แบบนี้ตรงตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของชาติพันธุ์วรรณนา
นักวิจัยอาจจะทาการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยที่ยังไม่มีใครศึกษามาก่อน
หรือมีคนศึกษาแล้วแต่ความรู้เกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยนั้นยังจากัด (ชาย โพธิสิตา.
2550: 159)
2)
ใช้เมื่อต้องการค้นหาหรือแสวงหาประเด็นใหม่ๆ
ของเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ยังไม่มีการเปิดเผยมาก่อน เพื่อการศึกษาแบบลงลึกที่ตามมา
การใช้ชาติพันธุ์วรรณนาในลักษณะนี้รวมถึงการใช้เพื่อค้นหาว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
และประเด็นปัญหานั้นอยู่ที่ไหน (เช่น
ในเรื่องการดาเนินโครงการตามนโยบายใหม่ของรัฐบาล
เรื่องผลกระทบของเทคโนโลยีการสื่อสารคมนาคมต่อสถาบันครอบครัว)
ในบางครั้งเราอาจจะพอรู้อยู่ว่าปัญหาคืออะไร ทว่าไม่สามารถกาหนดได้ว่าปัญหานั้นซับซ้อนเพียงใด
และเกี่ยวข้องอย่างไรกับระบบอื่นๆ เราก็อาจจะใช้วิธีนี้ได้
ชาติพันธุ์วรรณนาที่ใช้ในกรณีเช่นนี้มักจะมีลักษณะเป็นการศึกษาเชิงพรรณนา (ชาย
โพธิสิตา. 2550: 160)
3)
ใช้เมื่อต้องการหาคาอธิบายสาหรับพฤติกรรม เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เรายังไม่เข้าใจ
หรือเมื่อคาอธิบายที่มีอยู่ไม่เป็นที่พอใจ
การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาที่เจาะจงปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งจัดอยู่ในประเภทนี้
การใช้ในกรณีนี้ มักจะต้องการการวิเคราะห์ข้อมูลที่เข้มงวด
เพื่อทาความเข้าใจและสร้างกรอบการอธิบายที่ชัดเจน (ชาย โพธิสิตา. 2550: 160)
4)
ใช้เพื่อประเมินผลโครงการ การใช้วิธีการเชิงคุณภาพ (รวมถึงชาติพันธุ์วรรณนาด้วย)
เพื่อการประเมินผลโครงการต่างๆ นั้นเคยมีบางท่านตั้งข้อสังเกตว่าเหมาะสมเพียงใด
เรื่องนี้ Patton
(1987, 1990) ได้แสดงให้เห็นว่า
วิธีการเชิงคุณภาพสามารถใช้ในการประเมินผลโครงการได้เช่นเดียวกับวิธีการเชิงปริมาณ
ความจริงแล้วเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการทราบจากการประเมินผล
และขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงการ/กิจกรรมที่จะถูกประเมินมากกว่า
ถ้าต้องการทราบผลกระทบเป็นเชิงคุณภาพ เช่น
ความพึงพอใจของประชากรกลุ่มเป้าหมายต่อโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค
หรือกระบวนการดาเนินงานและการมีส่วนร่วมของชุมชนในกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ เป็นต้น
ชาติพันธุ์วรรณนาเป็นวิธีที่เหมาะสม (ชาย โพธิสิตา. 2550: 160)
5)
ใช้ร่วมกับวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ
วิธีการเชิงคุณภาพทุกชนิดสามารถใช้ร่วมกับการวิจัยเชิงปริมาณได้ 3 แบบ คือ (ชาย
โพธิสิตา. 2550: 160-161)
5.1
แบบที่หนึ่ง ใช้ก่อนที่จะเริ่มการสำรวจ (เชิงปริมาณ)
เพื่อหาประเด็นที่จะตั้งคาถามการวิจัย ตั้งสมมติฐาน หรือเพื่อหาความรู้เบื้องต้นสาหรับสร้างแบบสอบถามในการสำรวจ
5.2
แบบที่สอง ใช้หลังจากการสำรวจ เมื่อได้พบว่า ข้อค้นพบบางประการจากการสำรวจไม่สามารถอธิบายด้วยข้อมูลเชิงปริมาณที่มีอยู่อย่างเป็นที่น่าพอใจ
5.3
แบบที่ 3 ใช้ควบคู่ไปกับการวิจัยเชิงปริมาณ
ในกรณีที่มีประเด็นบางอย่างซึ่งไม่เหมาะที่จะใช้วิธีการเชิงปริมาณ
เพื่อทาความเข้าใจในระดับลึกได้ เช่น ประเด็นเรื่องกระบวนการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในถิ่นปลายทางของผู้ย้ายถิ่น
ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นศึกษาของโครงการวิจัยเกี่ยวกับการย้ายถิ่นและผลกระทบ ณ
ถิ่นปลายทาง เป็นต้น
ทีมนักวิจัยอาจทาการศึกษาประเด็นนี้ด้วยวิธีการเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
ขณะที่ทาการศึกษาประเด็นอื่นๆ ด้วยวิธีการสำรวจ (เชิงปริมาณ)
ข้อจำกัด
ชาย
โพธิสิตา (2550: 161-162)
ได้กล่าวถึงข้อจากัดของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาดังนี้
1.
เนื่องจากวิธีการเชิงชาติพันธุ์วรรณนาใช้มโนทัศน์ทางวัฒนธรรมเป็นหลักในการวิเคราะห์อย่างมาก
นักวิจัยที่จะประสบความสาเร็จควรมีพื้นความรู้เกี่ยวกับมานุษยวิทยาวัฒนธรรม
ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยพฤติกรรมทางวัฒนธรรมของมนุษย์พอสมควร
ข้อนี้ถือเป็นข้อจากัดสาหรับนักวิจัยจานวนไม่น้อยที่ไม่คุ้นเคยกับมโนทัศน์ทางวัฒนธรรมมาแต่เดิม
แต่เรื่องทางวัฒนธรรมในแนวของมานุษยวิทยานั้น
เป็นสิงที่สามารถศึกษาได้ด้วยตนเองจากการอ่าน ดังนั้น
การทาความคุ้นเคยกับวรรณกรรมด้านนี้อาจเป็นทางออกสาหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางมานุษยวิทยามาก่อนได้
2.
การเก็บข้อมูลภาคสนามของชาติพันธุ์วรรณนาต้องใช้เวลานาน
โดยทั่วไปนักวิจัยชาติพันธุ์วรรณนาอาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปี
หรือมากกว่าในการทาวิจัยภาคสนาม และโดยมากนักวิจัยมักทางานลาพังแต่ผู้เดียว
การทางานวิจัยชาติพันธุ์วรรณนาแบบเป็นทีม แม้จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
แต่ก็ไม่ค่อยเห็นมีทากัน นักวิจัยต้องพร้อมที่จะทุ่มเทเวลา
และทางานแบบค่อนข้างโดดเดี่ยวอยู่ในสนาม อนึ่ง การอยู่กับชุมชนที่ศึกษาในฐานนะผู้สังเกตแบบมีส่วนร่วมเป็นเวลานานนั้น
นักวิจัยมีโอกาสที่จะถูกกลืนเข้าไปในชุมชน ในรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง
จนทาให้การวิจัยไม่สาเร็จ
หรือสาเร็จแต่นักวิจัยต้องประนีประนอมหรือลดความเข้มงวดของการศึกษาลง
จนคุณภาพของการวิจัยหย่อนกว่าที่ควรจะเป็นได้
3.
ข้อมูลของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนามักจะมีหลากหลาย
ทั้งในด้านปริมาณและชนิดของข้อมูล จึงทาให้การวิเคราะห์เป็นงานที่ยาก
สาหรับนักวิจัยที่มีประสบการณ์น้อยเรื่องนี้จะยากมากขึ้นไปอีก ในสมัยก่อน
ไม่มีคอมพิวเตอร์ การจัดระเบียบข้อมูลเป็นงานที่น่าเบื่อและกินเวลานาน แม้ในปัจจุบันจะมีคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการข้อมูลแล้ว
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพก็ใช่ว่าจะเป็นงานง่าย เพราะถึงอย่างไร
คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้คิดแทนนักวิจัย
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ดีย่อมไม่ใช่เพียงแต่สรุปเรื่องออกมาจากคาบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูล
แต่ต้องเป็นการ “ย่อยข้อมูล” และ “กลั่น”
เอาสาระที่เข้าข่ายจริงๆ ออกเป็นคาอธิบายที่มีลักษณะเป็นนามธรรม
หรือเป็นข้อเสนอของนักวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจึงเป็นทั้งงานที่ท้าทาย
และเป็นข้อจากัดสาหรับนักวิจัยจานวนมาก
สรุป
การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาเป็นแนวทางหนึ่งของการวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งอธิบายและตีความข้อมูลทางสังคม
เจตคติ ความเชื่อ ความรู้สึก วัฒนธรรม ภาษา และพฤติกรรมของมนุษย์
วิถีชีวิตของกลุ่มคนในสังคม
โดยใช้วิธีการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์
ซึ่งผู้วิจัยจะเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการเก็บข้อมูลที่เคร่งครัด
เพื่อหลีกเลี่ยงอคติและให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง การวิเคราะห์ข้อมูลเน้นการพรรณนา
และการวิเคราะห์ที่เน้นปัจจัยทางวัฒนธรรมและสังคมเป็นตัวแปรสาคัญ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มชนหรือสังคม มีขั้นตอนการทาวิจัย 4
ขั้นตอน คือ (1) การเข้าสู่สนามและการกาหนดบทบาทผู้วิจัย (2) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(3) การวิเคราะห์ข้อมูล และ (4) การเสนอผลสรุปการวิจัย
การวิจัยรูปแบบนี้สามารถนาไปใช้ในหลากหลายสาขาวิชา เช่น ด้านการศึกษา สังคมวิทยา
สาธารณสุข เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ผู้วิจัยจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการอธิบายและตีความผลของการวิจัย
การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วมเป็นวิธีการหลักและใช้วิธีการอื่น ๆ
ร่วมด้วย เพื่อให้มีความเที่ยง (Reliability) และความตรง (Validity)
ในเรื่องที่ศึกษา โดยมีผู้วิจัยเป็นเครื่องมือหลักที่สำคัญในการเก็บข้อมูล
วิธีการวิจัยแบบนี้เหมาะสาหรับแสวงหาความรู้ประเด็นใหม่ๆ หรือ
ความรู้ที่ยังมีข้อมูลจากัด เกี่ยวกับกลุ่มทางสังคมและวัฒนธรรมที่เรายังไม่คุ้นเคย
วิธีการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนามีข้อจากัดของการนาไปใช้งานที่จะต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลภาคสนามเป็นเวลานาน
มีความยุ่งยากในการวิเคราะห์และตีความของผลการศึกษา
แต่ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายและเป็นทางเลือกให้นักวิจัยได้สืบค้นหาความรู้ได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
รวมไปถึงการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ทางสังคมตรงตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
บรรณานุกรม
ชาย
โพธิสิตา. “การวิจัยเชิงคุณภาพ : ข้อพิจารณาทางทฤษฎี” ใน
ตาราประกอบการสอน
และการวิจัยการศึกษาเชิงคุณภาพ
เทคนิคการวิจัยภาคสนาม. บรรณาธิการโดย
เบญจา
ยอดดาเนิน และคณะ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหานคร. โครงการเผยแพร่ข่าวสาร
และการศึกษาด้านประชากร
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, 2548.
หน้า
28-52.
_________.
ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 3.
กรุงเทพมหานคร.
อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง
จากัด (มหาชน),
2550.
ทรงคุณ
จันทจร. เอกสารประกอบการสอนวิชาการวิจัยเชิงคุณภาพทางวัฒนธรรมขั้นสูง.
สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2549.
นิศา
ชูโต. การวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร. พริ้นต์โพร จากัด, 2548.
ศุภกิจ
วงศ์วิวัฒนนุกิจ. พจนานุกรมศัพท์การวิจัยและสถิติ. พิมพ์ครั้งที่ 1.
กรุงเทพมหานคร.
ด่านสุทธาการพิมพ์, 2550.
อลิศรา
ศิริศรี. “การนาวิธีวิจัยเชิงชาติพันธ์วรรณามาใช้ในการวิจัยทางการศึกษา”
ใน
รวมบทความทางวิธีวิทยาการวิจัย เล่ม 1. บรรณาธิการโดย สมหวัง พิธิยานุวัฒน์.
พิมพ์ครั้งที่
1. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541. หน้า 249-257.
William
W. Research Methods in education an introducation fourthedtion.
Fourth
Edition Printed in the United states of America,1986.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น